วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

มองด้วยใจ...ใช้เมตตา



อันคนเรา...มีหลากหลาย...ให้ค้นหา
ไม่มีใคร...เลิศค่า...หรือตื้นเขิน
คนเรานั้น...มีดีชั่ว...เป็นแนวเนิน
อย่าประเมิน...คิดหมิ่น...จงเมตตา


*******************************

คนเราเกิดมาด้วยจิตใจที่ไม่เหมือนกัน คือพื้นฐานของจิต

ตอนถือปฏิสนธินั้นไม่เหมือนกัน จึงมีอุปนิสัยแตกต่างกันมาตั้งแต่เยาว์ เมื่อกระทบกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอีกก็ทำให้บุคคลแตกต่างกันไปเป็นอันมาก

การอยู่รวมกันของคนหมู่มากที่มีอุปนิสัยใจคอพื้นฐานทางใจ และการอบรมที่แตกต่างกัน จึงมีปัญหามาก ถ้าเราถือเล็กถือน้อย ไม่รู้จักให้อภัย เราก็จะมีความทุกข์มาก

บางทีก็เกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัย ผู้ใหญ่อยากจะให้เด็กทำ พูด และคิดอย่างตน ส่วนเด็กก็อยากจะให้ผู้ใหญ่ทำพูด คิด อย่างตนเหมือนกัน ซึ่งโดยทั่วๆ ไปแล้วเป็นไปไม่ได้

ฝ่ายผู้ใหญ่ควรให้อภัยว่าแกเป็นเด็ก ส่วนเด็กก็ควรให้อภัยว่าท่านแก่แล้ว มาเข้าใจกันเสีย คือเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อเป็นดังนี้เรื่องเล็กก็จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทุกฝ่ายอยู่กันด้วยความเห็นใจ เข้าใจ มองกันอย่างเป็นมิตร ไม่เป็นศัตรูต่อกัน




ข้อมูลจากหนังสือ ซีเคร็ต

มะเขือโรยงา (เดนงะคุ นะซุ)



ส่วนผสม


มะเขือม่วง 500 กรัม
• งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
• น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
• น้ำเต้าเจี้ยวขาว 3 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ


หั่นมะเขือออกเป็นท่อนยาวประมาณท่อนละ 3 นิ้ว หรือถ้าลูกเล็กให้ใช้ทั้งลูก
• ใช้ส้มหรือตะเกียบแทงมะเขือ 2-3 แห่ง เพื่อให้สุกง่าย
• เทน้ำมันให้สูงจากก้นกระทะ 1/8 นิ้ว นำไปตั้งเตาโดยใช้ไฟแรง เมื่อมีควันขึ้นบางๆ ใส่มะเขือลงทอด หร่ไฟให้เป็นสีเหลือง
• ปิดฝากระทะให้สนิท ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3-4 นาที ในการทอดแต่ละด้านจนกระทั่งมะเขือสุกนิ่ม ยกลงจากเตา
• ใช้พายยางทาส่วนบนของมะเขือด้วยน้ำเต้าเจี้ยวแล้วโรยงาทั่ว







เรายิ้มรับความเศร้าได้



แม้ชีวิตจะลำเค็ญ แม้ว่าบางครั้งจะยิ้มได้ยาก
แต่เราต้องพยายาม...
อย่างเช่นเวลาเอ่ยทักทายให้พรกันว่า

"อรุณสวัสดิ์" ก็ต้องเป็น "อรุณสวัสดิ์" อย่างแท้จริง

ไม่นานมานี้มีเพื่อนคนหนึ่งถามฉันว่า
"ดิฉันจะเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองยิ้มได้อย่างไร
ในขณะที่โศกเศร้า มันไม่เป็นธรรมชาติเลย"

ฉันตอบว่า
เธอต้องยิ้มรับความเศร้าให้ได้
เพราะเราเป็นมากกว่าความโศกเศร้า

มนุษย์คนหนึ่งเปรียบเสมือนเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีนับล้านๆช่อง
เมื่อเปิดไปช่องพุทธะเราก็เป็นพุทธะ
หากเปิดไปช่องโศกเศร้า เราก็เป็นความโศกเศร้า

ครั้นเมื่อเปิดไปช่องยิ้ม
เราก็กลายเป็นความยิ้มแย้มได้จริงๆ
หาควรปล่อยให้ช่องใดช่องหนึ่งมีอิทธิพลครอบงำไม่

เรามีเมล็ดพันธุ์ที่จะเป็นได้ทุกอย่างอยู่ภายใน
เราต้องยึดกุมสถานการณ์ไว้ในกำมือให้ได้
เพื่อฟื้นอำนาจในตัวเราเองกลับคืนมา


ที่มา
fwm

ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้

อีกนานไหม หัวใจจึงจะกล้าเดิน


อีกนานไหม หัวใจจึงจะกล้าเดิน (ริมทะเล)


หลับตาลงพร้อมน้ำตา
ตื่นขึ้นมากับความปวดร้าว
ไม่ลืมสักที . . . นิทานเรื่องนี้ที่นานยาว
ทุกความทรงจำเก่าเก่า . . .
มีแต่ความเศร้าหลอกหลอนหัวใจ





เพราะหัวใจมันไม่เดินตามเข็มนาฬิกา
ทุกช่วงชีวิตหยุดเวลา . . .ไว้เพียงน้ำตาและความอ่อนไหว
น้ำตายังรวยริน . . .ทำอย่างไรถึงจะชินกับการไม่เหลือใคร
อีกนานรึเปล่านะหัวใจ . . .ถึงจะกล้าเดินต่อไปอย่างแข็งแรง




มาถึงวันนี้ฉันจำไม่ได้แล้วว่า . . .
น้ำตากี่ล้านที่หยดกระทบแสงจันทร์
กี่คืนและวันที่อยู่กับฝันสลาย
การเป็นคนที่คุณไม่รัก . . . ก็เจ็บหนักแทบตาย
รักคุณรักง่าย . . .แต่ลืมคุณไม่ได้ . . .ยากเหลือเกิน




อยู่ใกล้ . . .แต่คุณทำตัวเหมือนไกลกัน
เหมือนอาทิตย์กับดวงจันทร์ที่ต่างห่างเหิน
คุณทำอย่างนี้กับฉันรู้ไหมหัวใจยับเยิน
ความรักที่ขาดขาด-เกินเกิน
รู้แล้วล่ะ . . . ฉันต้องเผชิญความปวดใจ


แต่งหน้า อำพรางรอยคล้ำใต้ตา



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ปัญหาใต้ตาคล้ำ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของผู้หญิงหลายคน หากเป็นวันหยุดพักผ่อน คุณอาจสามารถดูแลผิวพรรณใต้ดวงตาให้กลับมาสดใสขึ้นได้ แต่... ถ้าวันนั้นเป็นวันที่ต้องออกไปทำงานล่ะ ใต้ตาคล้ำแบบนี้จะทำอย่างไร...?

วันนี้เรามีวิธีช่วยสาว ๆ ด้วยการแต่งหน้าอำพรางรอยคล้ำใต้ตา ว่าแล้วเราไปดูกันเลยดีกว่า ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง...

ให้ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดเนื้อบางเบา ที่บริเวณใต้ตาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว

จากนั้นใช้กระดาษทิชชู่ค่อย ๆ ซับส่วนที่เกินออกมาให้สะอาด

เริ่มลงรองพื้นโดยเลือกใช้ครีมรองพื้นที่มีสีอ่อนกว่าผิวจริงเล็กน้อย

ใช้ฟองน้ำแบบชื้นเกลี่ยให้เรียบเนียน

ลงแป้งฝุ่นโปร่งแสงสีอ่อน โดยใช้แปรงเล็กค่อย ๆ เกลี่ยทับอีกที เพื่อให้ดูกลมกลืนกัน

ทีนี้... คุณก็กลับมาเป็นสาวมั่นได้อีกครั้งแล้ว แต่ถ้าจะให้ดี คุณควรพักผ่อนให้เพียงพอดีกว่า...


Tips

การลงรองพื้นเพื่อปกปิดรอยหมองคล้ำใต้ตานั้น ควรเน้นบริเวณมุมของหัวตาให้มากเป็นพิเศษ เพราะส่วนนี้จะฟ้องอาการพักผ่อนไม่พอมากที่สุด ข้อสำคัญ อย่าหนักมือมาก เพราะอาจทำให้คุณมีสีใต้ตาเข้มกว่าเก่าอีก

หากรอยหมองคล้ำของคุณเข้มจัด แนะนำให้ใช้คอนซีลเลอร์ (ครีมปกปิดริ้วรอย) ชนิดเนื้อครีม โดยใช้โทนสีที่สว่างกว่าผิวมากหน่อย แตะเบา ๆ แล้วเกลี่ยให้เนียนค่ะ



15 ประโยชน์สุดแจ่มของ ยาสีฟัน (ลิซ่า)






นอก จากจะทำให้ฟันสะอาดสดใสแล้ว ยาสีฟันยังใช้งานได้อย่างวิเศษกับของอย่างอื่นที่ไม่ใช่ฟันด้วยล่ะ และนี่คือการใช้ยาสีฟันแบบสีขาว (เว้นแต่บอกไว้อย่างอื่น) กับงานต่าง ๆ รอบบ้านและรอบตัวคุณ

1. บรรเทาอาการระคายเคืองจากแมลงกัดต่อยหรือแผลพุพอง ทายาสีฟันลงไปบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยโดยตรง มันจะบรรเทาอาการคันและลดความบวมลงได้ ส่วนแผลพุพองยาสีฟันจะทำให้แผลแห้งและหายเร็วขึ้น โดยควรทาทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

2. บรรเทาแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก สำหรับแผลเล็กน้อยที่ไม่มีรอยเปิด ยาสีฟันจะให้ความเย็นที่ช่วยบรรเทาอาการได้ โดยต้องทาลงไปทันทีหลังเกิดรอยแผล

3. กำจัดสิว อยากให้สิวหายเร็วขึ้นงั้นหรือ? ลองทายาสีฟันลงบนสิวแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วล้างออกในตอนเช้าสิ สิวจะยุบลงและหายเร็วขึ้น

4. ทำความสะอาดเล็บ ทั้งเล็บและฟันมีส่วนประกอบของกระดูกเหมือนกัน ยาสีฟัน จึงดีกับเล็บเช่นกันเพราะฉะนั้นอย่าลืมใช้แปรงและยาสีฟันขัดเล็บเป็นประจำ เพื่อช่วยให้เล็บสะอาดเป็นเงางาม และแข็งแรงขึ้น

5. ทำให้ผมอยู่ทรง ยาสีฟันแบบเจลมีส่วนผสมของโพลีเมอร์ที่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนผสมแบบเดียวกับที่เจลแต่งผมส่วนใหญ่ใช้ ฉะนั้น ถ้าคุณมองหาอะไรที่จะสร้างสรรค์ผมซึ่งต้องการความอยู่ตัวแบบสุด ๆ แต่เจลแต่งผมเกิดขาดมือ ลองใช้ยาสีฟันแบบเจลแทนก็ได้

6. กำจัดกลิ่นเหม็น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกระเทียม หัวหอม ปลา หรืออาหารกลิ่นแรงอื่น ๆ ที่ติดอยู่บนมือ ลองใช้ยาสีฟันถูมือ มันจะช่วยกำจัดกลิ่นพวกนี้ได้

7. กำจัดรอยเปื้อน รอยเปื้อนที่กำจัดยากบนเสื้อผ้าหรือพรม ยาสีฟันสามารถช่วยได้สำหรับเสื้อผ้า ทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนโดยตรงและขยี้เบา ๆ จนกระทั่งรอยเปื้อนหายไป แล้วซักตามปกติ (แต่ควรระวัง ถ้าใช้ยาสีฟันแบบไวเทนนิ่งบนผ้าสีอาจทำให้สีผ้าซีดลงได้) สำหรับรอยเปื้อนบนพรม ทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อน ใช้แปรงขัดจนรอยเปื้อนจางลง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

8. ชุบชีวิตรองเท้าเก่า ทำความสะอาดรองเท้าวิ่งที่สกปรกมอมแมม แต่ซักน้ำไม่ได้ ด้วยการทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนแล้วขัดเบา ๆ จากนั้น เช็ดให้สะอาด

9. กำจัดรอยสีเทียนบนผนัง ใช้ผ้าชุบน้ำพอชื้น ๆ กับยาสีฟันขัดเบา ๆ บนรอยเปื้อน

10. ทำความสะอาดเครื่องประดับเงิน ทายาสีฟันลงบนเครื่องประดับเงิน แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นใช้ผ้าสะอาด ๆ เช็ดออกในตอนเช้า ส่วนเครื่องประดับที่เป็นเพชร ก็สามารถใช้แปรงนุ่ม ๆ ยาสีฟันเล็กน้อย และน้ำขัดเบา ๆ ให้แวววาวดังเก่าได้ แต่อย่าใช้กับมุกเพราะจะทำให้เคลือบผิวเสียหายได้

11. กำจัดรอยขีดข่วนบนซีดี ได้ผลดีกับรอยขีดข่วนตื้น ๆ และรอยเปื้อนทั่วไปแค่ทายาสีฟันบาง ๆ ลงบนแผ่นซีดี ถูเบา ๆ แล้วเช็ดด้วยน้ำให้สะอาด

12. ทำความสะอาดคีย์เปียโน น้ำมันบนผิวหนังอาจติดอยู่บนคีย์เปียโน และดึงดูดเอาฝุ่นและความสกปรกมาสะสมไว้ ทำความสะอาดมันด้วยผ้าที่ปราศจากขุยชุบน้ำพอชื้น ๆ แตะยาสีฟันเล็กน้อยจากนั้น เช็ดซ้ำด้วยผ้าสะอาด ๆ อีกผืน

13. กำจัดกลิ่นขวดนมเด็ก ถ้าขวดนมเริ่มมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของนมบูด ลองใช้ยาสีฟันทำความสะอาดคราบตกค้างและกำจัดกลิ่น แต่ต้องล้างน้ำสะอาดให้หมดจดจริง ๆ ก่อนใช้

14. กำจัดรอยไหม้บนหน้าเตารีด ซิลิก้าในยาสีฟันสามารถช่วยกำจัดคราบดำ ๆ ไหม้ ๆ พวกนั้นได้

15. คืนความใสให้เลนส์ แว่นตาสำหรับว่ายน้ำหรือดำน้ำอาจขุ่นมัวได้เมื่อใช้ไปนาน ๆ ก่อนจะซื้ออันใหม่ลองทายาสีฟันเล็กน้อย ลงบนกระจกแว่น ถูให้ทั่วแล้วล้างให้สะอาด แต่อย่าขัดแรงเกินไป เนื่องจากส่วนผสมที่มีฤทธิ์ในการขัดสีในยาสีฟันอาจทำให้เลนส์เป็นรอยได้

ยอดสุนัขแสนรู้ (Dogazine)




หากพูดถึงสายพันธุ์สุนัขที่แลาดที่สุดในโลก ทุกคนคงสามารถตอบได้เป็นเสียงเดียวกันว่า "บอร์เดอร์ คอลลี่" แต่คงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า สุนัขสายพันธุ์นี้ฉลาดกว่าที่เราคิดมากมายนัก

ริโก้ สุนัขพันธุ์บอร์เดอร์ คอลลี่ น่าจะฉลาดกว่าสุนัขตัวไหน ๆ เพราะมันสามารถเรียนรู้ภาษามนุษย์ และเข้าใจคำศัพท์ได้มากกว่า 250 คำ ในขณะที่สุนัขโดยทั่ว ๆ ไป จะเข้าใจคำสั่งต่าง ๆ ได้ไม่เกิน 20 คำเท่านั้น

ริโก้ เกิดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1994 เริ่มโด่งดังจากการศึกษาของจูเลียเน่ คามินสกี้ นักจิตวิทยาสัตว์ชื่อดัง ภายหลังเจ้าของริโก้รายงานกับเธอว่า ริโก้ สามารถจดจำคำศัพท์ได้มากกว่า 200 คำเลยทีเดียว ผลการศึกษาของจูเลียเน่บ่งบอกว่า เจ้าริโก้สามารถตอบรับคำสั่งได้ถูกต้องเฉลี่ยกว่า 37 ครั้ง จากจำนวนเต็ม 40 ครั้ง โดยริโก้ สามารถจดจำคำศัพท์ได้ราว 4 สัปดาห์ หลังจากการจดจำครั้งสุดท้ายของมัน

เจ้าของสุนัขแสนรู้ตัวนี้สอนคำศัพท์ให้มันผ่านตุ๊กตาทีละตัว อาทิ ไดโนเสาร์ ก็จะส่งตุ๊กตาให้มัน 1 ตัว ซานตาคลอส ก็ใช้ตุ๊กตาอีกตัว รวมไปถึงคำสั่งต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งมันก็จดจำได้อย่างแม่นยำ แม้จะมีตุ๊กตามากมายกว่า 250 ตัวแล้วก็ตาม ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ ริโก้ สามารถแยกแยะคำศัพท์ใหม่ได้ ถ้าเจ้าของวางตุ๊กตาใหม่รวมกับตุ๊กตาเก่าของมัน แล้วสั่งว่า "หยิบเบสบอลออกมาซิ" มันจะคาบตุ๊กตาตัวใหม่มาให้ทันที ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักคำว่าเบสบอลมาก่อน แต่ใช้การเดาว่า นั่นคือสิ่งที่เจ้านายต้องการ เพราะตุ๊กตาตัวอื่นมีชื่อที่มันจำได้แล้วนั่นเอง

ปัจจุบัน แม้ ริโก้ จะอายุมากถึง 16 ปีแล้ว แต่มันยังคงเป็นขวัญใจของใครหลาย ๆ คนทั่วโลก จนถูกยกย่องให้เป็น "สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลก" ไปโดยปริยาย

เรื่องอะไรบ้าง ที่อยากลืม แต่กลับจำ98



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เคยสังเกตไหม...ในจำนวนสิ่งที่เราอยากจำกลับมีหลายสิ่งที่เราจำไม่ได้ แม้ว่าเราอยากจำมันได้มากขนาดไหน เช่น ลืมของ ลืมนั่น โน่น นี่ อยู่ตลอดเวลา โดยมากเรื่องที่อยากจำมักจะเป็นเรื่องใกล้ตัว สิ่งที่ต้องทำ หรือต้องใช้ รวมถึงเรื่องราวดี ๆ ความทรงจำที่ประทับใจ เรื่องที่คิดถึงแล้วมีความสุข

ตรงกันข้าม ในจำนวนสิ่งที่อยากจะลืม ก็ไม่น่าเชื่อว่าหลายเรื่องเราสามารถจำมันได้ไม่เคยลืม ซึ่งเรื่องที่อยากลืมมักจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี นึกถึงแล้วรู้สึกแย่ เสียใจ หรือรู้สึกผิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า...

จำได้ไหมเอ่ย..ขี่จักรยานเป็นกันเมื่อไหร่ ?137





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เห็นจั่วหัวมาแบบนี้ เพื่อน ๆ หลายคนอาจต้องมานั่งนึกย้อนเวลากันนานสักหน่อย หรือบางคนอาจนานจนจำแทบไม่ได้เลยล่ะ (อิอิ)

...แต่ถ้าลองนึกดี ๆ การหัดปั่นจักรยาน(สองล้อ)ครั้งแรก มันเป็นเรื่องที่ระทึกสุด ๆ และเวลาที่เห็นเพื่อนขี่ได้ เราก็อยากจะขี่ได้บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายคน เพราะการหัดขี่จักรยาน มักจะต้องได้บาดแผลเป็นของฝาก และความทรงจำ ถึงขนาดว่ากันว่า จะขี่จักรยานเป็น ต้องมีวีรกรรมเจ็บตัว

เอ...ว่าแต่เพื่อน ๆ ล่ะ ยังจำกันได้ไหมเอ่ย ขี่จักรยานเป็นกันตอนอายุเท่าไหร่ มีแผลกันกี่แผล และใครบ้างที่ยังขี่จักรยานไม่เป็นสารภาพมาซะดี ๆ (หุหุ)

กินของหวานอย่างไร...ไม่อ้วน


กินของหวานอย่างไร...ไม่อ้วน (Momypedia)
โดย: kant

เคล็ดลับเลือกกินของหวานแบบไม่เพิ่มน้ำหนักให้กลุ้มใจ

สาว ๆ หลายคนชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ แต่จะกินอย่างไรถึงจะรักษารูปร่างได้เพรียวสวย เรามีเคล็ดวิธีเลือกกินของหวาน ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ไม่ยากมาบอกต่อค่ะ

รู้ปริมาณแคลอรี

ก่อนกินควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกิน หรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุด

ลดแคลอรี

การตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี

ควบคุมสัดส่วนการกิน

กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว

ดื่มชาเขียว หรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม

กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน

5 นาที หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่

ออกไปเดินเล่นรอบบ้าน ๆ ประมาณ 15 นาที วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย

30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง

ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกาย ควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผาผลาญควบคู่ไปด้วย

งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น

มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน

● ถูก หรือ ผิด ... กับคำว่ารัก ●


.........เค้าว่าเรื่อง “ความรัก” ไม่มีคำว่าถูกและผิด

คุณไม่ผิดที่ไปรักเค้าคนนั้น
และเค้าเองก้อคงไม่ผิดที่ไม่ได้รักคุณ

ในทางตรงข้าม
คุณไม่ผิดที่ไม่ได้รักเค้าคนนั้น
และเค้าก้อไม่ผิดที่มารักคุณเช่นกัน

.........การห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนัก
แต่คงเทียบไม่ได้กับการห้ามใจให้ลืมรักเพราะย่อมยากกว่า

คุณอาจทำได้เมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ
แต่มันคงไม่ง่าย
ถ้าคุณต้องหักใจให้ลืมในขณะที่คุณอยู่คนเดียว

..........เค้าว่าการชนะใจตัวเองนั้นอาจดีและมีค่าที่สุด
แต่ในเรื่องความรัก
การชนะใจคนที่เรารักนั้นอาจย่อมมีค่ากว่า
แต่มันอาจมีค่ากว่านั้น
ถ้าคุณสามารถชนะใจตัวเองที่จะปฏิเสธกับความรักที่ย้อนมาหาคุณ
และมันอาจมีค่าที่สุด
ถ้าคุณยอมที่จะ “แพ้” ใจตัวเองเพื่อจะกลับไปหาความรักนั้น

...........ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่อย่าลืมว่าบนโลกไม่ได้มีแค่เค้าทั้งคู่
อย่าโกรธเค้าที่ต้องปฏิเสธรักจากคุณ
ด้วยเหตุผลว่าเราเข้ากันไม่ได้
ด้วยเหุผลว่าสังคมเราต่างกัน
ด้วยเหตุผลว่าเค้ายังรักคุณอยู่
ด้วยเหตุผลว่าเค้ารักคนอื่นที่มีค่าพอกับคุณ

............วิทยาศาสตร์อาจต้องการเหตุผล
แต่เรื่องความรักย่อมไม่ต้องการเหตุผลใดใด
คนดีอาจรักกับคนเลว
จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนผิด
จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนที่ไม่เอาไหน
และจงอย่าโทษตัวเองว่าเรารักคนที่ไม่ดี
เพราะสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้ว
จงเชื่อในสายตาของตัวเอง
จงเชื่อประตูหัวใจอันมีค่าที่เลือกจะเปิดรับเค้าคนนั้น

............แม้ใครจะพูดว่าคู่ของเราเป็นคนไม่ดี
แต่ในแง่ของความรัก
คุณทั้งสองเป็นคนดีของกันและกัน
อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนตาบอด
อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนหูหนวก
บางครั้งการไม่เห็นและไม่ได้ยิน
เพื่อรักษาและถนอมความรักเอาไว้
ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

.............นิยามความรักแต่ละคนย่อมต่างกัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจทะเลาะกันทั้งวัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจหวานให้แก่กันได้ทั้งวัน
และไม่แปลกที่บางคู่ต่างเฉยชาต่อกัน
และก้อคงไม่แปลกเลยที่บางคู่อาจต่างกันราวฟ้ากับดิน

เพราะบางครั้งความรักคือ การเติมเต็ม

แต่บางครั้งความรักอาจคือ การเสียสละและการแบ่งปัน

บางคนความรักอาจเป็น การดูแลและปกป้อง

อย่าไปคิดว่าทำไมคู่เราถึงไม่เหมือนคู่ของใครเค้า
อย่าไปคิดว่าคู่เราแปลกหรือเปล่า
อย่าไปสนใจว่าเราควรเปลี่ยนแปลงอะไรมั๊ย

ถ้าจะเปลี่ยน ขอให้เพื่อรักมิใช่เพื่อเลิกรัก

วิธีแต่งหน้าให้สวยเด้ง


วิธีแต่งหน้าให้สวยเด้ง (Woman's Story)

สาว ๆ คะคุณสามารถสวยเด้งได้ทุกวันกับขั้นตอนการแต่งหน้าที่แสนจะง่ายดาย ไม่ยุ่งยาก แต่สวยแป๊ะเรียกได้ว่าความสวยนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียวค่ะ ฟังแบบนี้ชักจะเริ่มสนใจกันขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่ะ ไปค่ะเราไปดูพร้อม ๆ กันเลย...


Step 1

เริ่มกันด้วยการบีบ BB ครีมลงที่หลังมือค่ะ จากนั้นใช้นิ้วหรือแปรงลักษณะแบน แต้มที่บีบีครีม เกลี่ยให้ทั่วใบหน้า โดย เกลี่ยจากด้านในออกด้านนอก จากนั้นลงแป้งฝุ่นให้ทั่วทั้งใบหน้าเลยค่ะ ขั้นตอนนี้อย่าใจร้อนนะคะ ค่อยเป็นค่อยไปเดี๋ยวหน้าจะไม่เนียนเด้งค่ะ

Step 2

จากนั้น เรามาเริ่มแต่งดวงตากันค่ะ ใช้อายแชโดว์สีชมพูอมม่วงทาที่เบ้าตา จากนั้นใช้สีม่วงอ่อนทาเหนือเบ้าตาบริเวณโหนกคิ้วค่ะ จากนั้นใช้แป้งไฮไลท์ที่มีชิมเมอร์ทาบริเวณโกนกคิ้วเช่นกันค่ะ ดวงตาจะดูโดดเด่นทีเดียวค่ะ

Step 3

ขั้นตอนต่อมา ปัดแก้มด้วยบลัชออนสีพีชค่ะ ปัดบริเวณจุดสูงสุดของโหนกแก้ม ปัดเป็นแนวยาวไปทางหางตาค่ะ

Step 4

ใช้ลิปคอนซีลเลอร์ ทาที่ขอบปากล่างค่ะ จากนั้นใช้ลิปสติกสีชมพูโทนเบจทาทับลงไป แล้วปิดท้ายด้วยกลอสใสค่ะ


ทำสปานวดหน้าด้วยตัวเอง18


ทำสปานวดหน้าด้วยตัวเอง (Lisa)

ถ้าไม่มีเวลาเข้าไปนวดหน้าที่สปา ทำไมไม่ทำเองที่บ้านล่ะค่ะ อาจจะทำด้วยตัวเอง หรือผลัดกันนวดกับเพื่อนก็ได้

1. ทาเคลนเซอร์ที่ใช้ตามปกติลงบนผิวหน้า และลำคอให้ทั่ว ลงมือนวดตั้งแต่ฐานคอขึ้นมาจนถึงแนวขากรรไกร โดยใช้ปลายนิ้วลูบไล้เป็นแนววงกลม จากนั้น นวดไปตามแนวขากรรไกร แก้ม ด้านข้างจมูก และคิ้ว โดยนวดไล่จากด้านในไปด้านนอก

2. ไล่นิ้วจากบริเวณใต้ตาเข้าไปทางจมูก แล้ววกกลับขึ้นไปทางหน้าผาก จากนั้น ใช้ฝ่ามือลูบจากคอขึ้นมา และจากกึ่งกลางใบหน้าออกไปด้านนอก เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3. ทาผลิตภัณฑ์ขัดผิวลงบนผิวหน้าในขณะแห้ง แล้วนวดเป็นแนววงกลมให้ทั่วใบหน้า จากนั้น จึงเติมน้ำลงไปแล้วนวดต่ออีกรอบ เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทามาส์กพอกหน้าตามลงไปทันทีหลังล้างหน้าเสร็จ ปล่อยทิ้งไว้ตามเวลาที่กำหนดแล้วล้างน้ำออก

4. จบด้วยการทาครีมบำรุงตามลงไปทันที โดยใช้วิธีการนวดแบบเดียวกับตอนใช้เคลนเซอร์

ไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะ ประหยัดเงินไปทำที่ร้านได้อีกด้วย ผลัดไปทำร้านบ้าง ทำเองบ้างจะได้สวยจังตังอยู่ครบนะคะ


ยกระดับการดูแลผิว เพื่อผิวอ่อนเยาว์10



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ผิวอ่อนเยาว์สวยใสจากภายใน เป็นอีกทางเลือกใหม่สำหรับคุณผู้หญิงในยุคปัจจุบัน แหม...ไม่ว่าจะสาวรุ่นไหน ๆ ก็ต้องอยากดูสวยใส สุขภาพดีอย่างยั่งยืนกันทั้งนั้น ซึ่ง ดร.แอนดรูว ไวล์ แพทย์ผู้บุกเบิกและเชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนองค์รวม ได้แนะนำทางเลือกใหม่ในการดูแลผิวหน้าไปจนถึงการบำรุงผิวหน้าจากพลังของ ธรรมชาติ เพื่อความสุขสมบูรณ์งามจากภายในสู่ภายนอกมาบอกกัน โดยเริ่มจาก…

สัปดาห์ที่ 1 คืนความสมดุลสู่ร่างกาย กินอาหารที่ช่วยลดการระคายเคืองผิว และเสริมสร้างสุขภาพ พร้อมทั้งมาร์คหน้าด้วย

สัปดาห์ที่ 2 จัดระเบียบโภชนาการ เปลี่ยนเมนูอาหารจานโปรดของคุณ โดยเพิ่มปลาเข้ามาเป็นหนึ่งในเมนูประจำของคุณ

สัปดาห์ที่ 3 ออกกำลังกายให้สมองสดใส พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ด้วยการงดรับข่าวสาร และหาเวลาใกล้ชิดธรรมชาติ

สัปดาห์ที่ 4 ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต โดยบริหารกล้ามเนื้อ และผิวหน้าสม่ำเสมอ

สัปดาห์ที่ 5 ฝึกหายใจอย่างเป็นระบบ ควรฝึกทุกครั้งที่รู้สึกเครียด โกรธ ไม่สบายใจ ในทุกครั้งที่หายใจออก

สัปดาห์ที่ 6 รู้จักอาหารเสริมทรงคุณค่า เติมวิตามินผิว เพิ่มสารอาหารที่จำเป็น เลี่ยงการดื่มกาแฟ-ชา

สัปดาห์ที่ 7 การนอนหลับพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ งดการนอนกลางวัน และเข้านอนในช่วงเวลา 23.00-02.00 น. จะดีที่สุด

สัปดาห์ที่ 8 อย่างมีประสิทธิภาพ ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ฝึกหายใจ

เลือก ชุดแต่งงาน ให้เข้ากับสถานที่


เลือก ชุดแต่งงาน ให้เข้ากับสถานที่ (I Do)

รูปแบบการจัดงานแต่งงานในบางธีม (Theme) อาจไม่เหมาะกับชุดแสนสวยดูหรูหรา มีระบาย หรือปักเลื่อม อย่างงานที่จัดในสวน เจ้าสาวสามารถใส่ชุดสบาย ๆ อาจมีเพียงมาลัยดอกรักเสริม หรือมีมาลัยดอกกล้วยไม้คล้องคอ หรือทำหัวเข็มขัดเป็นพุ่มดอกไม้เล็ก ๆ ดูน่ารักมีเสน่ห์

ถ้าเป็นการจัดงานแต่งงานอย่างไทย เจ้าสาวสามารถใส่ชุดไทยแบบเรียบง่าย ทำผมแบบโบราณ สวมผ้าซิ่นไหมหรือมัดหมี่ ส่วนเจ้าบ่าวใส่ชุดไทยคอตั้งแขนยาว หรือชุดโจงกระเบน คล้องมาลัยดอกรักเป็นเครื่อง ประดับกูดูสวยงาม เข้ากับบรรยากาศในงานได้ดี

หากเป็นการจัดงานริมทะเล คุณเจ้าสาวก็อาจสวมใส่ชุดสบาย ๆ เป็นเสื้อสายเดี่ยวมีระบายบ้างเล็กน้อย ที่ตรงสายเสื้อตกแต่งเปลือกหอยเล็กหรือปลาดาว พร้อมกระโปรงบานมีระบาย ตกแต่งด้วยเปลือกหอยเล็ก ๆ ที่ชายกระโปรง หรือรอบเอวกระโปรง ซึ่งดูแล้วก็เหมาะสมกับสถานที่ บรรยากาศ และมีเสน่ห์ดึงดูดตา

เคล็ดลับกระตุ้นเส้นผมให้ยาวเร็ว24


เคล็ดลับกระตุ้นเส้นผมให้ยาวเร็ว (Lisa)

ถ้าคุณใจร้อนอยากให้ผมยาวเร็ว ๆ เรามีเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้เส้นผมงอกยาวได้เร็วมากขึ้นมาบอกคุณแล้ว

กระตุ้นหนังศีรษะ การกระตุ้นหนังศีรษะจะช่วยให้ระบบไหลเวียนบนหนังศีรษะทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เส้นผมมีความแข็งแรงพอที่จะงอกผ่านสิ่งสกปรก น้ำมัน และเซล์ผิวเก่า ขึ้นมาได้ วิธีการคือใช้แปรงสำหรับนวดหนังศีรษะให้ทั่ว หรือจะใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบา ๆ แทนเป็นเวลาสองสามนาทีก่อนสระผม

เอาใจเส้นผม มองหาแชมพูและคอนดิชันเนอร์ที่มีส่วนผสมของสารที่ให้ความชุ่มชื้นอย่างเชีย บัตเตอร์หรือน้ำมันอะโวคะโด เพราะความชุ่มชื้นมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เส้นผมเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ขาดหรือหลุดร่วงเพราะความแห้งหรอบไปซะก่อน

เปลี่ยนวิธีแต่งผม ความร้อนและการเสียดสีจากการแต่งผม จะทำให้เกล็ดผมและชั้นปกป้องเส้นผมเกิดความสเสียหาย ซึ่งจะทำให้เส้นผมขาดหรือหลุดร่วงได้ง่าย ฉะนั้น จึงควรใช้หวีที่มีฟันซี่ห่าง ๆ สางผม และงดใช้อุปกรณ์แต่งผมด้วยความร้อนอย่างไดร์เป่าผมและคีมรีดผมไฟฟ้า แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันความร้อนทาเส้นผมให้ทั่วก่อนทุกครั้ง

สูตรพอกหน้า VS ขัดตัว แบบง่าย ๆ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ไม่ว่าจะอยู่ในสาววัยไหน ก็ต้องอยากมีผิวพรรณที่เต่งตึง แลดูสดใส ไม่ว่าจะเป็น "ผิวหน้า" หรือ "ผิวกาย" เพราะฉะนั้น วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าและขัดตัว ที่สามารถทำได้เองแบบง่าย ๆ ฝากกันค่ะ เริ่มจาก

สูตรพอกหน้า

โยเกิร์ตพอกหน้า : นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ (โยเกิร์ตไม่ผสมผลไม้) แช่เย็น ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใช้มะนาวหรือน้ำผึ้ง 1/2 ช้อนชา คนให้เข้ากันกับโยเกิร์ต และนำมาพอกหน้าให้ทั่ว (ยกเว้นรอบดวงตา) ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกให้เกลี้ยง ทั้งนี้ มะนาวจะเหมาะกับสาว ๆ ผิวมัน ส่วนน้ำผึ้งจะเหมาะกับคุณแม่ผิวแห้ง

สครับ กาแฟ : นำกากกาแฟสดที่ชงเสร็จแล้ว / โยเกิร์ตรสธรรมชาติ / น้ำมะนาวหรือน้ำขาม ผสมทั้งส่วนผสมทั้ง 3 อย่างให้เข้ากัน หลังจากล้างตัวสะอาดแล้ว ให้นำมาพอกที่ตัวให้ทั่วแล้วขัดเบา ๆ จะรู้สึกว่าผิวลื้นสะอาด


ขัดผิว

เกลือขัดผิว : นำเกลือเนื้อละเอียด / เบบี้ออย / น้ำผึ้ง (เล็กน้อย) ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน นำมาขัดผิวตัวให้ทั่วตามชอบ ทั้งนี้ มะนาวกับมะขามควรใส่เพียงเล็กน้อยก่อน ผิวจะได้ไม่แสบ และเวลาขัด ควรขัดวนเบา ๆ และนวดไปในทิศทางที่เข้าสู่หัวใจ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในคำว่า “รัก”

คำ ว่า "รัก" มีอะไรมากมายซุกซ่อนอยู่ในนั้น อาจจะหวานชื่น ขมขื่น หรืออะไรอื่นอีกหลากหลาย ที่จะทำให้คนรู้จัก "รัก" ได้สัมผัสและรู้สึกถึง….

ความรักเริ่มจากความคิด
เพราะ ความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางที.. ความรักอาจทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงความคิดไปจากเดิม อาจทำให้คนเราต้องปรับปรุงในสิ่งที่เคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน

ความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธา
คุณจะไม่สามารถรักใครได้ ถ้าไม่รู้สึกเชื่อมั่นเสียก่อน และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น ก็คือตัวเอง

ความรักคือการให้ ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรัก
สิ่ง ที่คุณต้องทำก็คือการให้ ยิ่งให้.. คุณก็จะยิ่งได้รับสูตรลับของความสุขและทำให้มิตรภาพยืนยาวที่คุณควรจะจำเอา ไว้เสมอก็คือ อย่าถามว่าคนอื่นให้อะไรคุณบ้าง แต่ให้ถามว่าคุณทำอะไรให้คนอื่นบ้างจะดีกว่า

ในความรักมีมิตรภาพซ่อนอยู่
อยาก ได้รักแท้ ก็ต้องหาเพื่อนแท้ให้ได้เสียก่อน การจะรักกันได้ไม่ใช่แค่มองตา แต่อยู่ที่ว่า.. ต่างคนต่างมีอะไรที่ตรงกันหรือเปล่าหากจะรักใครอย่างจริงใจ คุณควรจะรักในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่แค่ภาพที่คุณเห็น มิตรภาพก็เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยทำให้ความรักเบ่งบานเติบโตทุก ๆ วันนั่นเอง

การสัมผัส ช่วยสานต่อความรักให้ดีขึ้น
เคย รู้สึกดีใช่มั้ยเวลาที่มีใครโอบไหล่หรือกอดคุณ? การสัมผัส จึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่มีพลัง และช่วยทลายกำแพงแห่งความชิงชังไม่เข้าใจได้อีกด้วย น่าแปลกที่การสัมผัสสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ และท่าทีที่แข็งกร้าวให้เบาบางลงได้

อยากรักต้องรู้จักปลดปล่อย
ถ้า คุณรักใครจงปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้างเพราะคุณเองคงรู้สึกอึดอัด ถ้ามีใครมาล่ามโซ่คุณ ดังนั้น.. จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยและลืมอดีตที่ไม่ดี เรียนรู้ที่จะปลดปล่อยความกลัวภายในใจเรียนรู้ที่จะยุติธรรมและลดทิฐิ รวมถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ลงบ้าง


ลอง บอกตัวเองว่า.. นับแต่นี้ คุณจะทิ้งความกลัวทั้งหมด แล้วอดีตจะไม่มีผลอะไรต่อตัวคุณได้.. นับจากวันนี้ไป คุณก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที

ชีวิตจะเปลี่ยนไป

เมื่อ เราเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กว้างและซื่อสัตย์ต่อกัน รวมถึง คุยกับคนรักอย่างเปิดเผย และกล้าที่จะพูดถ้อยคำวิเศษว่า "ฉันรักเธอ" โดยไม่ปล่อยให้โอกาสดี ๆ หลุดลอยไป คุณควรจะบอกรักก่อนจากกันทุกครั้งเสมอ เพราะบางที นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะพบกัน!

แก่นแท้ของความรัก คือการไว้ใจกัน
ถ้า คุณไม่เชื่อใจกัน ใครคนหนึ่งจะรู้สึกระแวง กังวล และหวาดหวั่น ขณะที่อีกคนรู้สึกอึดอัดใจ ที่สำคัญ.. คุณไม่อาจรักใครจริง ๆ ได้ ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขาคนนั้นอย่างแท้จริง


ที่มา
ทำดีด็อทเน็ท

กล้วย...อาหารดีใกล้มือ



แนะนำเมนูล้างพิษด้วย ยำหัวปลี หรือสลัดดอกกล้วย (Banana Flower Salad)

ผลไม้ไทยที่อยู่คู่ครัวไทยมากที่สุด รองจากมะพร้าว แล้วก็คือ กล้วย ไปที่ไหนก็เจอกล้วย วิถีชีวิตคนไทยผูกพันกับกล้วยและต้นกล้วยมาเนิ่นนาน

แต่ฝรั่งส่วนใหญ่รู้จักแต่ กล้วยหอม บางคนก็กิน กล้วยน้ำว้า ไม่เป็น กล้วยประเภทหลังนี่แหละที่ปลูกง่าย โตเร็ว ประเดี๋ยวก็ออกผล เด็กไทยแต่เล็กๆ ก็กินกล้วยน้ำว้าครูด ดูเหมือนเราคุ้นลิ้นกับกล้วยน้ำว้า มากกว่ากล้วยหอม แต่พอโตขึ้นมาหน่อย เมนูฝรั่งมักนำกล้วยหอม จับคู่กับไอศกรีม หรือของหวานอย่างอื่น ไม่ยักใช้กล้วยน้ำว้า


แต่เอาเถอะ จะกินกล้วยชนิดไหนดีทั้งนั้น บ้านใครปลูกกล้วยจะได้ใช้ทุกส่วนของต้นกล้วย โดยเฉพาะอาหารไทยใช้ใบตองหรือใบกล้วย เป็นภาชนะธรรมชาติอยู่แล้ว ฝรั่งมองแล้วอิจฉาเพราะจะหาใบไม้ชนิดไหนมาห่อ ต้ม นึ่ง แล้วได้กลิ่นหอมชวนกินอย่างใบตองคงไม่มี พอนึกออกอาจจะมี ใบองุ่น ที่มาทำข้าวห่อใบองุ่น เป็นอาหารกรีกและคนในแถบตะวันออกกลางจนถึงแอฟริกาเหนือ คล้ายข้าวห่อใบบัวแต่เขากินใบองุ่นเข้าไปด้วย รสชาติเปรี้ยว ใบองุ่นก็เหนียว แต่ก็ได้รสได้กลิ่นแบบอาหารของคนแถวนั้น กินอาหารกับใบตองดีกว่า ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ข้าวเหนียวห่อใบตองปิ้ง ย่าง หรือนึ่งเป็นข้าวต้มมัด

ส่วนผสม ยำหัวปลี ที่มีแต่ผักล้วนๆ ได้แก่

หัวปลี 80 กรัม
บีทรูท 60 กรัม
มะม่วงดิบ 70 กรัม
สาหร่ายวากาเมะ 3 กรัม
ใบผักชี 3 กรัม
ใบสะระแหน่ 10 กรัม
หอมแดงสับละเอียด 10 กรัม
งาขาวงาดำรวม 5 กรัม
ตะไคร้สับละเอียด 10 กรัม
น้ำมะนาว 10 มล.
ผงพริก มากน้อยตามต้องการ


วิธีทำ ล้างหัวปลี ซอยบางๆ หัวบีทรูทและมะม่วงดิบ ให้ซอยเป็นเส้น ผสมทั้งหมดในชามแล้วเติมสาหร่ายกับงาขาวงาดำ บีบมะนาว เติมผงพริก จานนี้ไม่มีน้ำสลัดเพื่อให้ได้รสชาติแท้ๆ จากผัก มีรสเข้มขึ้นด้วยสาหร่ายออกรสเปรี้ยวหวานอมเผ็ดเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นชอบรสไหนสามารถปรุงแต่งได้ตามต้องการ






หัวปลีเป็นจานผักที่นิยมมากตั้งแต่ศรีลังกา ลาว จนถึงเอเชียใต้ ในเมืองไทยก็กินหัวปลีเหมือนเป็นอาหารพื้นบ้าน เพราะบ้านคนไทยปลูกต้นกล้วยกันอยู่แล้ว หัวปลีสดกินกับผัดไทยหรือจิ้มน้ำพริก ลวกก็ได้ หรือต้มข่าไก่ใส่หัวปลี หมกหัวปลี แกงเลียงหัวปลีช่วยขับน้ำนมฯลฯ หัวปลีมีเส้นใย มีวิตามินเอ วิตามินซี โปตัสเซียม แมกนีเซียม มีธาตุเหล็กและแคลเซียม มีสรรพคุณช่วยแก้อาการหลอดลมอักเสบ ท้องผูกและรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร

กินดอกกล้วยแล้วอย่าลืมกินกล้วยสด ชนิดสุกมากหน่อยกินแก้อาการท้องผูก มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ แต่ถ้าท้องเสียถ่ายมากเกินไปให้กินกล้วยห่าม ที่ผิวเปลือกมีสีเขียวปนเหลือง เพราะในเนื้อกล้วยดิบที่ยังไม่สุกมากมีสารแทนนิน มีฤทธิ์ฝาดสมาน ช่วยยับยั้งเชื้อโรค ใช้ได้ผลดีกับอาการท้องเสียระยะแรก ปลูกต้นกล้วยไว้เหมือนเป็นล่วมยาในบ้านหยิบใช้ได้เสมอ

ที่มา:teenee.com



กินหมู่ไม่สุกระวัง...เสียชีวิต





เราคงทราบกันดีว่า การรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ มักก่อให้เกิดโรคตามมาภายหลังมากมาย และในช่วงหลังมานี้เราก็มักได้ยินข่าวคนทานหมูกระทะที่ไม่สุก หรือทานอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อหมูดิบ ๆ หรือเลือดหมูกลายเป็นโรคหูดับ หูหนวก เป็นอัมพาต หรือเลวร้ายที่สุดถึงขั้นเสียชีวิต จากการรับเชื้อ Streptococus suis (สเตรปโตคอคคัส ซูอิส) เข้าไปในร่างกาย

ว่าแต่...เนื้อหมูดิบจะส่งผลกระทบถึงขั้นเสียชีวิตได้ขนาดนั้นเชียวหรือ วันนี้กระปุกดอทคอม ขออาสามาเตือนภัยเรื่องนี้กันค่ะ

สำหรับ โรคสเตรปโตคอคคัส ซูอิส เป็นโรคที่เกิดในสุกร เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococus suis ในสกุล Streptococcus ที่ปกติจะมีอยู่ในสุกรเกือบทุกตัว ซึ่งฝังตัวอยู่ในต่อมทอนซิลของสุกร แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดโรค เว้นแต่เมื่อใดที่สุกรมีร่างกายอ่อนแอ เครียด หรือป่วยด้วยโรคที่ไปกดภูมิคุ้มกัน แบคทีเรียตัวนี้ก็จะเพิ่มจำนวน และติดเชื้อในกระแสเลือด (bacteremia) และทำให้หมูป่วยและตายได้ในที่สุด

เชื้อ Streptococus suis ติดต่อสู่คนได้อย่างไร

เชื้อ Streptococus suis สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ 2 ทาง คือ

1. ผ่านทางบาดแผล รอยถลอก เยื่อบุตา จากการสัมผัสสุกรที่เป็นโรค กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังคือ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร คนทำงานในโรงฆ่าสัตว์ คนชำแหละเนื้อสัตว์ สัตวแพทย์ สัตวบาล

2.จากการบริโภคเนื้อสุกร เครื่องใน หรือเลือดหมูที่ไม่ผ่านการปรุงให้สุก เช่น ลาบ ลู่ ที่นิยมทำจากเนื้อหมูดิบ ๆ หรือหมูกระทะที่ปิ้งย่างไม่สุก

อาการของผู้ป่วย

ผู้ป่วยที่รับเชื้อ Streptococus suis เข้าสู่ร่างกายแล้ว ภายใน 3 วัน จะมีไข้ คลื่นเหียน ปวดศีรษะ จนเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าไปสู่เยื่อหุ้มสมอง ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบ ม่านตาอักเสบตามมา และเนื่องจากเยื่อหุ้มสมอง อยู่ใกล้กับปลายประสาทหูชั้นในทั้งสองข้าง เชื้อจึงสามารถลุกลาม และทำให้เกิดหนองบริเวณปลายประสาทรับเสียงและประสาททรงตัว ทำให้หูตึง หูดับ จนหูหนวกร่วมกับอาการเวียนศีรษะและเดินเซตามมาได้ รวมทั้งเกิดอาการ Toxic Shock Syndrome ซึ่งอาการทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นภายใน 14 วัน หลังจากเริ่มมีอาการไข้

นอกจากนี้ ความน่ากลัวของ Streptococus suis ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้หูหนวก และสูญเสียการทรงตัวเท่านั้น แต่หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาช้า จะทำให้เชื้อแบคทีเรีย Streptococus suis เข้าไปทำลายเยื่อหุ้มสมอง หรืออาจเกิดติดเชื้อในกระแสโลหิตจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด

การรักษา

แพทย์จะจ่ายยาต้านจุลชีพให้ เช่น ฉีดยาเพนนิซิลลินขนาดสูง 18-24 ล้านยูนิตทางหลอดเลือดดำ เป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ให้เพื่อฆ่าเชื้อโรค

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนที่รอดชีวิตมา ยังอาจมีความผิดปกติหลงเหลืออยู่ เช่น ความผิดปกติในการทรงตัว เนื่องจากเชื้อได้เข้าไปทำลายเยื่อหุ้มสมอง หรือหากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทตา จะทำให้ม่านตาอักเสบ ลูกตาฝ่อ หรือตาบอดได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยบางคนยังอาจเป็นอัมพาตครึ่งซีกได้เช่นกัน

การป้องกัน

สำหรับในสุกรนั้น ควรเลี้ยงสุกรให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่แออัด โรงเรือนต้องระบายอากาศได้ดี ป้องกันสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันได้ เพื่อไม่ให้สุกรอ่อนแอ จนเชื้อStreptococus suis เพิ่มจำนวนเข้ามาได้ เนื่องจากสุกรที่รับเชื้อ Streptococus suis เข้ามาแล้วจะไม่แสดงอาการป่วย เราจึงไม่สามารถทราบได้เลยว่า สุกรตัวไหนที่ป่วย

ขณะที่วิธีป้องกันเชื้อ Streptococus suis ในคนที่ต้องทำงานในฟาร์ม หรือสัมผัสสุกร ควรปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล สวมรองเท้าบู้ต หรือ สวมถุงมือระหว่างปฏิบัติงาน จะป้องกันการแพร่เชื้อจากสุกรมาสู่คนได้

แต่สำหรับเรา ๆ การหลีกเลี่ยงบริโภคเนื้อสุกร เครื่องใน รวมทั้งเลือดหมูที่ดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ เป็นหนทางป้องกันที่ดีที่สุด เพราะเชื้อ Streptococus suis จะถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน ดังนั้นหากต้องการหลีกเลี่ยงเชื้อ Streptococus suis ก็อย่าลืมปรุงอาหารให้สุกก่อนทุกครั้ง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เตือนภัย ! สาวๆที่ชอบต่อเล็บ


สาวๆ คนไหนชื่นชอบการต่อเล็บเป็นชีวิตจิตใจ ต้องอย่าลืมมองข้ามความปลอดภัย และพึงระวังภัยเงียบที่เกิดจากการต่อเล็บเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าไปติดตามกันเลยดีกว่าว่าเจ้าภัยเงียบนี้คืออะไร...


ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บนั้น เป็นอันตรายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เนื่องจากการต่อเล็บนั้นปัจจัยที่สำคัญได้แก่ “กาว” ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้กาวที่ทำด้วยเมธิลเมธาครายเลต ซึ่งมีราคาถูก โดยจะมีลักษณะกลิ่นฉุน และเป็นพิษ อาจจะมีปฏิกิริยากับผิวหนังหรือทำให้เล็บเสียหายถาวรได้



อีกทั้งเมื่อกาวแห้งจะแข็งตัว และมักจะยึดติดกับเล็บจริงอย่างแน่นหนา จึงอาจทำให้เล็บฉีกได้เมื่อจะถอดออก บางครั้งเมื่อถอดเล็บปลอมไม่ออก ถึงกับต้องใช้ตะไบตัดออก ก็ยิ่งทำให้เล็บที่อยู่ข้างใต้เสียหายหนัก ซึ่งจะส่งผลถึงสุขภาพของเล็บได้ นอกจากนั้นกาว ซึ่งเป็นสารเคมีอาจถูกดูดซึมเข้าสู่เล็บ และอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราหรือสะสมเชื้อราภายใต้เล็บ



รู้แบบนี้แล้ว เห็นทีสาวๆ ที่รักสวยรักงาม และชื่นชอบการต่อเล็บต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยกันบ้างแล้วล่ะค่ะ...

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้ขอบตาคลำ


คงไม่มีใครอยากเป็นหมีแพนด้า

หญิงสาวหลายคนเป็นกังวลกับรอยดำ ๆ วงคล้ำ ๆ ใต้ลูกกะตา เพราะทำให้เสียเซลฟ์ ความมั่นใจหดหายกันไปเยอะ ว่าแต่ว่ามันเกิดจากอะไร แล้วทำยังไงถึงจะหายนะ

สาเหตุ

ขอบตาคล้ำ คือ เส้นเลือดใต้ดวงตาของคุณไหลเวียนไม่ดี เป็นได้ทั้งจากกรรมพันธุ์ ขยี้ตาบ่อย แพ้ครีมทารอบดวงตา อดนอน หรือภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ บางคนจะมีเส้นเลือดดำรอบตาขยายใหญ่กว่าคนทั่วไป นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

วิธีแก้ไข

วิธีที่ 1 ลองใช้แตงกวาฝานเป็นแผ่นบาง ๆ หรือใช้ถุงชาที่ชงแล้วแช่ให้เย็นเจี๊ยบมาประคบที่ตาจนแตงกวาหรือถุงชาหายเย็น

วิธีที่ 2 ผสมเกลือ 1 ช้อนชากับน้ำร้อนครึ่งถ้วย ใช้สำลีหรือผ้าชุบ แล้วนำมาปิดตาประมาณ 10 นาที

ถ้าลอง 2 วิธีนี้แล้วยังไม่หายคล้ำ ก็ลองพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลัง หรือลองใช้ครีม Whitening ชนิดที่ใช้ทาใต้ดวงตา แต่ถ้าทำทุกอย่างที่บอกมาแล้วตายังเป็นแพนด้าอยู่อีก ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์รักษาด้วย แต่วิธีนี้ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยอาการก่อน ซึ่งก็ไม่อยากแนะนำเท่าไหร่นัก ทางที่ดีที่สุด คือ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากตาจะไม่ดำแล้ว ยังป้องกันโรคอื่น ๆ ได้อีกด้วย

เคล็ดลับแก้ไขปัญหาริมฝีปากแห้ง


ปัญหาริมฝีปากแห้ง สามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุนะคะ ดังนั้นก่อนอื่นสาว ๆ ควรจะต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุที่แท้จริงของปัญหานี้คืออะไร ไม่ว่าจะเป็น พักผ่อนน้อย เครียด พูดเป็นเวลานาน ผลจากรับประทานยารักษาโรคบางชนิด ฯลฯ ล้วนทำให้ริมฝีปากแห้งได้ทั้งนั้น ซึ่งหากปล่อยให้ปากแห้งนาน ๆ อาจจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น จนลอกเป็นขุย และทำให้เกิดกลิ่นปากได้อีกด้วย

ดังนั้น การแก้ไขอย่างแรก ๆ ควรดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ หรือจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากใครที่ปากลอกเป็นขุยให้ใช้น้ำอุ่นผสมเกลือป่นเล็กน้อย จากนั้นใช้สำลีหรือทิชชูชุบเล็กน้อยพอหมาด แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ประมาณ 3 – 5 นาที หรือจะใช้เช็ดไล้เบา ๆ ก็ได้ ขุยก็จะหลุดลอกออกไป และควรมั่นทาบำรุงด้วยลิปมันหรือปิโตรเลียมเจล เพื่อเพิ่มและรักษาความชุ่มชื่นให้กับริมฝีปาก

เมคอัพสวย ๆ ด้วยวิธีง่าย ๆ


หากต้องการใบหน้าที่ดูกระจ่างใส เลือกสีแป้งพับสว่างกว่าสีของรองพื้นหนึ่งเบอร์

2. แต่ถ้าต้องการใบหน้าที่ดูสดใสเป็นธรรมชาติ เลือกสีของแป้งพับให้ใกล้เคียงกับรองพื้น

3. ดัดขนตาก่อนปัดมาสคาร่า

4. ต้องการให้อายแชโดว์ติดทนนาน รองพื้นด้วยลิปมันก่อนทาอายแชโดว์

5. เพื่อป้องกันไม่ให้อายแชโดว์เลอะใต้ขอบตา ทาแป้งเด็กไว้ใต้ตาก่อนทาอายแชโดว์

6. ทาลิปสติกทุกครั้งอย่าทาจากตัวแท่ง ควรทาจากพู่กันเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกลงไปสะสมในเนื้อลิปสติก

7. เขียนขอบปากทุกครั้ง ก่อนทาลิปสติก

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รักแท้มีแต่ให้


เป็นความรักของมนุษย์ผู้ที่ได้ค้นพบภาวะความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน

ในหัวใจอย่างลึกซึ้ง แล้วหลุดพ้นจากกิเลสขึ้นมากลายเป็นอารยชน

ความรักมีแต่ให้นี้เป็นความรักที่เกิดจากการมองเห็น"ความไร้แก่นสาร"

หรือความไม่มีตัวตนของตนเอง เมื่อมองเห็นความไร้แก่นสารหรือความ

ไม่มีตัวตนของตนเองจึง...ไม่มีตัวตนไว้สำหรับเห็นแก่ตัว ก็จึงเห็นแก่โลก

ทั้งผอง หัวใจนั้นไร้พรมแดน เกิดความรักชั้นสูงสุด มองคนมองสรรพ

ชีพ มองสรรพสัตว์ทั้งหลายในลักษณะโลกทั้งผองพี่น้องกัน

ความรักชนิดนี้เป็นความรักที่แท้ เปิดเผย บริสุทธิ์ จริงใจ ให้ออกไปโดย

ไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน แล้วก็ไม่ต้องการให้ใครมามองเห็นคุโณปการ

ของตัวเอง เป็นดอกไม้ส่งกลิ่นหอม แล้วก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลาอย่าง

สงบเงียบ ไม่ปราถนา ที่จะเป็นที่ปรากฏอะไรเลย

เช่นเดียวกัน พระอรหันต์ทั้งหลาย อริยชนทั้งหลาย ตั้งแต่พระโสดาบัน

บุคคลขึ้นไป ก็ทำงานเพราะมีความรักที่แท้เป็นแรงผลักดัน ทำงานก็

เพราะว่างานนั้นเป็นสิ่งที่วิถีชีวิตของท่านควรทำ ไม่มีแรงจูงใจลักษณะ

เกิดจากลาภสักการะ ผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เสมือนเราทุกคนเกิดมา

แล้วก็หายใจเพราะการหายใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราหายใจโดยไม่

จำเป็นต้องเรียกร้อง ไม่จำเป็นต้องบังคับ การหายใจก็คือการหายใจ

การหายใจมีความสมบูรณ์อยู่แล้วในตัวเองฉันใด ผู้มีรักแท้อยู่ในหัวใจ

ก็พร้อมที่จะรักคนทั้งโลก โดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทนฉันนั้นเพราะมัน

เป็นธรรมชาติอันเป็นธรรมดานั่นเอง

ด้วยเหตุนี้รักแท้จึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "กรุณา" หรือ "การุณยธรรม"

เกิดขึ้นหลังจากปัจเจกบุคคลคนหนึ่งได้ค้นพบปัญญาคือ ความตื่นรู้

แล้วเกิดวิสุทธิภาวะ คือจิตที่หลุดพ้นจากอวิชชาโดยสิ้นเชิง จะก่อให้เกิด

คุณธรรมชนิดใหม่ซึ่งเปรียบเหมือนธารน้ำที่หลั่งไหลมาของความรัก....

ก็คือ กรุณา

ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "มหากรุณิกะ" แปลว่า บุคคลผู้

เปี่ยมความรักอันไพศาล นั่นแหละรักแท้คือ กรุณา

มนุษย์ทุคนมีศักยภาพที่จะค้นพบรักแท้ในหัวใจของตนเองได้ทุกคน

เพราะรักแท้หรือกรุณา มันมาจากพุทธภาวะในหัวใจของเราทุกคน

ฉะนั้น ขอแค่เราเป็นคนเท่านั้นแหละ เราก็มีธรรมชาติเดิมแท้เป็นความ

รักแท้ที่จำพรรษาอยู่ในใจเราทุกคนอยู่แล้ว รอแต่ว่าเมื่อไรเราจะค้นพบ

เท่านั้นเอง เขารอเราอยู่ตลอดเวลา ทุกภพทุกชาติทุกวินาที


ขอขอบคุณ บทความจาก ว.วชิรเมธี





น้ำทับทิม’ ป้องกันสมองเสื่อม


‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สรรหาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมาปิดท้ายให้เข้าธีมของสัปดาห์ที่ว่ากันถึง ‘อาการสมองเสื่อม’ ซึ่งสามารถป้องกันด้วย ‘ทับทิม’ ผลไม้มากคุณค่า สีสันสวยงาม โดยคุณพล ตัณฑเสถียร ฟู้ดสไตลิสต์คนดัง สร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มแก้วเก๋ ชื่อ ‘Red Shooter’…

ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณป้องกันอาการหลง ๆ ลืม ๆ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ในส่วนของเมล็ดยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง

นอกจากทับทิมแล้ว เครื่องดื่มแก้วนี้ยังต้องการส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าเข้าไปอีก มีทั้งแตงโม มะนาว ส้ม และสับปะรด ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และทำให้แผลหายเร็วอีกด้วย

สรุปส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ....

ทับทิม
แตงโม
มะนาว
ส้ม
สับปะรด

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากการแกะเมล็ดทับทิมออกจากผล แล้วใส่รวมกันในผ้าขาวบาง บีบคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นำไปคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้นำไปผสมรวมกัน จากนั้นนำไปเขย่ารวมกับน้ำแข็งก้อนใหญ่เพียงชั่วครู่ ก็จะได้เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานที่เย็นจับใจ ดื่มได้ทันที.

มีวิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอนมาบอก


1 ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ก่อนการเข้านอน ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ก็ควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว

2 ปิดโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้มีใครโทรมารบกวนเวลาที่ใกล้จะหลับ

3 นอนที่ที่รู้สึกสบายที่สุด และเป็นที่นอนที่ไม่เป็นแอ่ง
เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้

4 เลือกหมอนที่รู้สึกว่านอนแล้วรับกับลำคอ

5 อาจเปิดเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
อาจเป็นพลงบรรเลงเบาๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้

6ก่อนนอนพยายามเปิดแสงไฟนวลตา หรือไฟสีเหลืองส้มจะทำให้ดวงตา
ปรับแสงได้ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง หลังจากปิดไฟนอนจะหลับสบายมากขึ้น

7 ก่อนนอนใส่เสื้อผ้าสบายๆ เลือกใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบายๆ
ไม่หนามากจนเกินไป เพื่อให้เหมาะกับอากาศ เและไม่ควรใส่ชุดชั้นในเวลานอน

8ค่อยๆล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลายๆครั้ง
เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เตือนแป้งพับแบรนด์เนมปลอม เสี่ยงมะเร็ง

กรมวิทย์เตือนใช้แป้งพับแบรนด์เนมปลอม เสี่ยงมะเร็ง ชี้ปนเปื้อนสารโลหะหนักเพียบ ทั้งสารหนู ตะกั่ว แคดเมียม และปรอท

เมื่อวันที่ 24 ส.ค.53 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้นำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง "การปนเปื้อนโลหะหนักในแป้งผัดหน้าชนิดอัดแข็ง หรือแป้งพับ" ซึ่งจากการสุ่มตรวจตัวอย่างจากร้านค้าตามชายแดน พบการปนเปื้อนโลหะหนักในตัวอย่างที่สุ่มตรวจเกิน 12 ตัวอย่าง จาก 70 ตัวอย่าง โดยมีการปนเปื้อนสารหนูมากที่สุด รองลงมาเป็นตระกั่ว แคดเมียม และปรอท

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุด้วยว่า แป้งพับที่ปนเปื้อนโลหะหนักส่วนใหญ่เป็นแป้งพับที่ลอกเลียนแบบยี่ห้อดังของต่างประเทศ โดยเฉพาะจากฝรั่งเศสและอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีแป้งพับก๊อบบี้แบรนด์เครื่องสำอางเกาหลีที่กำลังฮิตในตลาดด้วย ดังนั้น จึงขอเตือนผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไม่ระบุสถานที่ผลิต วันผลิต และวันหมดอายุ

ด้าน นายชัยพัฒน์ ธิตะจารี เภสัชกรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 กล่าวว่า สารปนเปื้อนโลหะหนักเหล่านี้ หากดูดซึมเข้าร่างกายเป็นเวลานาน จะทำให้ไตทำงานผิดปกติและอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ คล้ายกับที่ร่างกายได้รับสารตกค้างจากโรงงานอุตสาหกรรมและมลภาวะที่เป็นพิษ

ทั้งนี้สามารถตรวจรายชื่อเครื่องสำอางที่พบสารห้ามใช้ตามที่ อย. เคยประกาศ ได้ที่ http://www.fda.moph.go.th/www_fda/fdamain.php หรือหากพบยา เครื่องสำอาง อาหาร น่าสงสัยโทรสายด่วน อย. 1556


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ป้องกันแสงแดดให้ได้ผล




ป้องกันแสงแดดให้ได้ผล (Hair)

1. ทาครีมกันแดดล่วงหน้า 30 นาทีก่อนเผชิญแสงแดด และทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง และทุกครั้งหลังว่ายน้ำควรจะทาครีมกันแดดซ้ำอย่างน้อยอีก 1 ครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันผิวอีกชั้นหนึ่ง

2. เลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับกิจกรรมทางน้ำ ที่มีคำว่า Water Proof (ที่จะกันแดดได้นาน 80 นาที) และ Water Resistant (จะกันแดดได้นาน 40 นาที) ทุกครั้ง

3. ทาครีมกันแดดซ้ำบ่อย ๆ และควรจะทาเลยไปที่บริเวณคอและแขนด้วยเพื่อความงามอย่างทั่วถึง

4. การเติมครีมกันแดดในระหว่างวัน โดยไม่ต้องล้างหน้านั้น ให้ซับเหงื่อซับมันออกจากหน้าเสียก่อน แล้วใช้นิ้วกลางป้ายครีมมาแตะ ๆ ให้ทั่วหน้า แทนการละเลงครีมไปทั่วหน้า ก่อนจะทาแป้งซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

5. แม้จะทาครีมกันแดดหลังจากตากแดดแรง ๆ แล้ว ควรดื่มน้ำตลอดเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ (Dehydrated) ตรงไหนที่ตากแดดแรง ๆ เป็นเวลานาน ควรจะทา After Sun ที่ช่วยให้บรรเทาอาการแสบร้อน เลือกที่มีส่วนผสมของวิตามินอีและว่านหางจระเข้ และไม่ควรโดนแดดแรง ๆ อีกสักพัก

6. แยกใช้ผลิตภัณฑ์ผิวหน้าและผิวกาย ควรใช้เฉพาะจุดที่กำหนด เช่น ใช้ทาหน้า ทาตัว ทามือ และที่สำคัญควรตรวจสอบวันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุด้วย ควรเลือกวันที่ผลิตจนถึง ณ ปัจจุบันมีอายุไม่เกิน 1 ปี

7. ถ้าผิวกลายเป็นสีชมพูเข้ม รู้สึกร้อนและไหม้ ให้ประคบผิวบริเวณนั้นด้วยน้ำเย็นผสมนมสด ห้ามใช้น้ำแข็งประคบเพราะจะทำให้ยิ่งไหม้ จากนั้น ชโลมผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของอโลเวรา และไม่ควรใช้สบู่ หรือครีมอาบน้ำถูโดยเด็ดขาด

8. แต่ถ้าผิวเป็นสีแดงจัด เป็นรอยย่นจนเห็นได้ชัด ควรอาบน้ำและชโลมผิวเหมือนข้อแรก ทานยาแอสไพรินทุกๆ 4 ชั่วโมง จากนั้นให้ไปพบแพทย์ แต่ถ้าพบว่ามีผิวเป็นสีแดง มีตุ่มน้ำใส ๆ มีไข้ หนาวสั่น ให้ทานยาแอสไพรินแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที

9. ในช่วงเวลากลางวัน ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาพอที่จะป้องกันแสงแดดที่ส่องผ่านเข้าสู่ผิวหนัง รวมทั้งแว่นตาป้องกันรังสี UVB อันเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นบริเวณหนังตาที่บอบบางและไวต่อแสงเป็นพิเศษ รวมทั้งถุงมือที่ช่วยป้องกันบริเวณหลังมือที่มักเป็นตำแหน่งที่เกิดมะเร็ง ผิวหนังมากที่สุดเช่นกัน

6 สูตรพอกหน้า ขัดผิว ด้วยวิธีธรรมชาติ

6 สูตรพอกหน้า ขัดผิว ด้วยวิธีธรรมชาติ (Momy Pedia)



สูตรความงามที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและหาง่ายใกล้ตัว ไม่ต้องเสียเวลาไปเสาะหาครีมบำรุงผิว หรือครีมพอกหน้าราคาแพง เพราะ 6 สูตรความงามที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและหาง่ายใกล้ตัวเหล่านี้ จะช่วยให้ผิวพรรณของคุณสดใส เปล่งปลั่ง และห่างไกลจากสิ่งแปลกปลอมในเครื่องสำอาง ที่เข้ามากล้ำกรายทำร้ายความงามของคุณ

สูตร 1 ครีมพอกหน้าแตงกวา (เหมาะสำหรับสาวผิวมันและผิวผสม)

ส่วนผสม ใช้แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว

วิธีทำ หั่นแตงกวาเป็นแว่นบาง ๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาว และบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ

หมั่นทำบ่อย ๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และช่วยสมานผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึงและและนุ่มนวลชุ่มชื้น

สูตร 2 พอกหน้าด้วยมะขามเปียก

ส่วนผสม มะนาวเปียก 1 ก้อน ดินสอพอง 2-3 เม็ด

วิธีทำ นำมาขยี้รวมกันจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างสะอาดผิวหน้าก็จะสดใส เต่งตึง เรียบเนียนขึ้น

สูตร 3 โทนเนอร์น้ำผลไม้

ส่วนผสม น้ำแตงกวา มะเขือเทศ มะนาว และแตงโม อย่างละ 1 ช้อนชา

วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดกวนให้เข้ากัน ใช้สำลีจุ่มส่วนผสมเช็ดเบา ๆ ให้ทั่วหน้า น้ำผลไม้สูตรนี้จะช่วยสมานผิวและกระชับรูขุมขนเหมือนการใช้โทนเนอร์

สูตร 4 ครีมบำรุงผิวจากแตงกวา

ส่วนผสม แตงกวา

วิธีทำ นอกจากแตงกวาจะนำมาใช้บำรุงผิวหน้าแบบง่ายๆ ที่เห็นกันบ่อยๆ คือ การฝานแตงกวาเป็นแผ่นบาง ๆ แปะไว้ตามใบหน้า วิตามินซีที่อยู่ในแตงกวาจะทำให้รู้สึกผิวนุ่มทันทีหลังใช้ อีกทั้งการนำแตงกวามาบด แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำแล้วนำมาถูตัว จะรู้สึกหอมเย็นสบาย และช่วยให้ผิวสะอาด ไม่แห้งเป็นขุยอีกด้วย

สูตร 5 พอกหน้าด้วยขมิ้นสด

ส่วนผสม ขมิ้นสดเล็กน้อย ดินสองพอง 2-3 เม็ด มะนาว 1ผล (เอาแต่น้ำ)

วิธีทำ ล้างขมิ้นสดให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ รวมกับดินสอพองและน้ำมะนาวจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน พอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตร 6 สูตรอายุรเวทตำรับแพทย์อินเดียโบราณ

ส่วนผสม น้ำสับปะรดหรือมะละกอคั้น 1 ช้อนโต๊ะ ไข่แดงครึ่งช้อนชา น้ำส้มแอ๊ปเปิ๊ลไซดอร์ 1 ช้อนชา

วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งมากวนให้เข้ากัน ต่อจากนั้นนำมาทางบนมือหรือเท้า ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงล้างออก คุณจะสัมผัสความนุ่มและคืนความชุ่มชื้นของผิวพรรณ สูตรนี้สามารถใช้ได้ทั้งมือและเท้า เป็นสูตรที่ผสมขึ้นจากธรรมชาติ จึงไม่เป็นพิษเป็นภัยกับผิวสวย ๆ ของคุณ

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

5 วิธีง่าย ๆ ป้องกันเชื้อราที่มากับหน้าฝน (Woman's Story)







เมื่อมีฝน สิ่งที่ตามมาก็คือความเปียกชื้นแล้วก็เชื้อรานะคะ เพราะฉะนั้น หากไม่อยากให้เชื้อรารุกล้ำเข้ามาทำร้ายก็ต้องดูแลตัวเองดี ๆ หลังจากไปโดนฝนมาค่ะ ซึ่งวันนี้ก็มีเกร็ดความรู้ในเรื่องนี้มาแนะนำให้เอาไปใช้กันค่ะ


1.ยกเท้าสูงเข้าไว้

เวลาเดินลุยน้ำขัง ไม่ควรเดินให้เท้าอยู่ใต้น้ำ เพราะอาจไปเดินไปเตะโดนของมีคม หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เกิดแผลได้ ซึ่งเมื่อเกิดแผลก็ทำให้เกิดการติดเชื้อได้

2.ทำความสะอาดทันที

เมื่อกลับถึงบ้านควรรีบถอดรองเท้า ถุงเท้าออก และทำความสะอาดโดยใช้สบู่ฟอกให้ทั่วตรงบริเวณที่โดนน้ำ โดยเฉพาะซอกนิ้ว ซอกเล็บ ล้างให้สะอาด เช็ดเท้าให้แห้ง และทาแป้งบนหลังเท้าจะช่วยทำให้เท้ารู้สึกสบายไม่อับชื้น

3.อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

เพื่อไม่ให้เป็นการหมักหมมของเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มากับน้ำ ให้รีบอาบน้ำชำระล้างร่างกายทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน แต่ถ้าไม่สามารถอาบน้ำได้ ก็ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แทนได้ จะได้ไม่เป็นหวัด

4.สระผมให้สะอาด

เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อโรคที่มากับฝนก็ควรสระผมให้สะอาด และควรรอให้แห้งก่อนเข้านอน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นรังแคหรือเชื้อราได้

5.เตรียมพร้อมรับมือเสมอ

เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝนควรพกร่มติดตัวไว้เสมอ พร้อมทั้งดูแลตัวเองให้อับชื้นน้อยที่สุด จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อราได้มากขึ้น

เติมสีสันเพิ่มเสน่ห์เรียวปาก (Woman's Story)


ตัวช่วยของเรียวปากสวยอย่างหนึ่งก็คือ ลิปสติก ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสน่ห์และสีสันได้อย่างโดดเด่น แต่จะต้องรู้จักวิธีเลือกลิปสติกที่ถูกต้องและเหมาะกับตัวเอง...

ลิปสติกสีมันวาว ช่วยให้สีปากจริงของสาว ๆ ดูโดดเด่นออกมา ริมฝีปากดูอวบอิ่มกว่าลิปสติกสีทึบด้าน อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงริมฝีปากอีกด้วย

ลิปสติกเนื้อครีม นับว่าเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ มากที่สุด เพราะให้ความนุ่มเนียน และติดทนนาน แต่ต้องพิถีพิถันในการเลือกสีให้เหมาะกับตัวเอง

ลิปสติกเนื้อมุก ลิปสติกประเภทนี้ ไม่เหมาะกับทุกคน เพราะคุณสมบัติในการสะท้อนแสง จะทำให้ริมฝีปากดูเต็มอิ่มมากขึ้น ใครที่มีริมฝีปากที่แห้ง แตก ไม่ควรใช้

ลิปสติกสีด้าน เป็นลิปสติกที่ติดทนนานที่สุด แต่ลิปสติกสีด้านจะทำให้ริมฝีปากแห้งมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากแห้งแตกอยู่แล้ว


นอกจากการเลือกประเภทของลิปสติกให้เหมาะกับเรียวปากแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสีผิวของตัวเองด้วยว่าสีแบบไหน เหมาะกับสีผิวของเรา...

สาวที่มีผิวซีดมาก ควรใช้สีอ่อน ๆ เช่น สีนู้ด เบจ คอรัลอ่อน ๆ หรือชมพูอ่อน ๆ และให้เลือกลิปสติกเนื้อมันวาว

สาวที่มีผิวสีปานกลาง ให้ลองลิปสติกสีโมฟโทนน้ำตาล สีเบอร์รี่ใส ๆ หรือน้ำตาล และควรเลือกใช้ลิปสติกสูตรเนื้อครีม จึงจะเหมาะที่สุด

สาวผิวเข้ม ดูดีได้ด้วยลิปสติกสีเข้มอิ่ม ๆ เช่น เบอร์กันดีเข้ม ช็อกโกแลต และพลัม จะใช้สูตรลิปสติกเนื้อวาว ครีม ด้าน หรือมุกก็ได้ทั้งนั้น

สุดยอด 5 อาหารบำรุงผิว






ยุคนี้กระแส Anti-aging medicine กำลังมาแรงทั่วโลก ผิวพรรณดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ไม่ว่าสาวเล็ก สาวใหญ่ ก็ล้วนปรารถนาผิวพรรณที่ผุดผ่องกันทั้งนั้น ครั้นจะพึ่งพาแต่เครื่องประทินผิวภายนอกอย่างเดียวก็คงจะไม่เพียงพอ เพราะผิวพรรณที่ดีต้องออกมาจากภายใน วันนี้เราได้รวบรวมและประมวลสุดยอด 5 อาหารบำรุงผิวมาฝากคุณสาว ๆ กันด้วยค่ะ

1. เนื้อปลาแซลมอน

อาหารที่เราคุ้นเคยกันดี ที่นอกจากจะมีโปรตีนช่วยสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรมสูงแล้ว เนื้อปลาบางชนิดที่มีไขมันมาก เช่น ปลาแซลมอน ก็อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมกา 3 ที่ช่วยเพิ่มความต้านทานให้กับชั้นปกป้องผิว ที่เป็นชั้นเก็บกักความชุ่มชื้นและป้องกันการแพ้

นอกจากนี้เนื้อปลายังอุดมไปด้วยวิตามินดี ที่ช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดความเสียหายจากมลภาวะรอบตัว และมีสารซีลีเนียม (Selenium) ที่ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา และความเสื่อมของร่างกายค่ะ

2. น้ำมันมะกอก

ถึงแม้น้ำมันมะกอกจะเป็นน้ำมันจากพืชที่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีแคลอรี่สูงก็จริง แต่ก็มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชั้นดี ที่เป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และที่สำคัญในน้ำมันมะกอกอุดม ด้วยวิตามินเอและวิตามินอี ที่ทำหน้าที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ทำให้ผิวดูอ่อนวัย มีความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

3. บร็อกโคลี

ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

ส่วนวิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญในการช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายรวมถึงผิวหนังของเราด้วย

4. ถั่วลิสง ถั่ววอลนัต และอัลมอนต์

ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสง ถั่ววอลนัต หรืออัลมอนด์ ล้วนมีวิตามินบีสูง ซึ่งวิตามินบีมีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังมาก เพราะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทำให้ผิวหนังไม่ซีด ทั้งยังเพิ่มภูมิต้านทานต่อการเสื่อมสลายของเซลล์ผิว นอกจากนั้นการกินถั่วสัก 1 กำมือต่อวัน ยังช่วยเพิ่มระดับวิตามินอี ที่เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อผิวหนังของเรา ถั่วจึงดีต่อทุกสภาพผิว โดยเฉพาะคนที่ผิวแห้งค่ะ

5. น้ำสะอาด

เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ ลองดื่มน้ำเปล่าสะอาด ๆ เนี่ยล่ะค่ะให้ได้วันละ 2 ลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำบริสุทธิ์ในปริมาณที่ต้องการ และคุณจะสังเกตเห็นความแตกต่างของผิวพรรณ เพราะการดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่งชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากเรื่องอาหารการกินที่ต้องดูแลแล้ว ก็ต้องไม่ลืมออกกำลังกาย ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ และพักผ่อนให้เพียง เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดในร่างกายดี ส่งผลให้ผิวพรรณก็จะเปล่งปลั่งไปในตัวค่ะ

รักแรก ...ลืมยากจริงหรอ






มีหลายคนเคยบอกว่า... รักครั้งแรกนั้นลืมยาก เพราะมันคือความรู้สึกพิเศษบางอย่างครั้งแรก ที่ได้รู้สึกกับใครสักคนเป็นคนแรก แม้ความรักจะทำให้โลกสดใส แต่... ความรักก็ทำให้เราปวดใจ (แทบตาย) ได้เหมือนกัน ยิ่งเป็น "รักครั้งแรก" ที่ต้องเจอกับ "ความผิดหวัง" แผลเป็นในใจครั้งนั้น ก็พร้อมจะเกิดการอักเสบขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อมีอะไรไปสะกิดรอยแผล (ใจ) ให้เจ็บจี๊ด หลายคนที่เคยเจ็บปวดกับ "รักแรก" มักรอให้เวลาช่วยบรรเทารอยแผลในใจ แต่อย่าลืมว่า... เวลาไม่ช่วยอะไร หากใจมันไม่ยอมลืม

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพื่อนสนิท


... เพื่อนสนิท

... ก็ คือ

เพื่อนธรรมดาๆคนนึง ที่ดันสนิทกัน มากกว่าเพื่อนธรรมดาๆทั่วๆไป
... ซึ่ง มันก็ต้องมีอะไรหลายๆอย่าง
ที่คล้ายๆกับเรามากกว่า เพื่อนคนอื่น
... ถึง จะมาสนิทกันได้
... บาง ที อาจ ไม่ใช่นิสัย
... บาง ที อาจ ไม่ใช่หน้าตา
... บาง ที อาจ ไม่ใช่ฐานะ
... บาง ที อาจ ไม่ใช่ระดับความรู้
... แต่ มันอาจจะมีอะไรบางอย่าง ที่ต้องเป็น มั น ค น นี้ เ ท่ า นั้ น ที่ มี
... บาง ครั้ง
... เรา ก็ไม่ไป ที่ ที่เราอยากไป
.. เพียง เพราะว่า มัน ไม่ไปด้วย
... บาง ครั้ง
... นั่ง เงียบอยู่ได้ตั้งนาน แต่ แค่เห็นหน้ามัน
... น้ำตา ที่กลั้นไว้แทบตาย กลับ ทะลักออกมาได้จนหมด
... บาง ครั้ง
... ถ้า มีเสียงหัวเราะของมันด้วย
... เรา จะหัวเราะได้ดังกว่านี้
... บาง ครั้ง
... ร้อย คำปลอบใจของใครก็ไม่รู้
... ยัง อุ่นใจไม่เท่ามือมันที่แค่ตบเบาๆที่หัวไหล่
บอกเป็นนัยๆว่า

กรู อยู่ตรงนี้
ชอบคำๆนึงที่ บอกว่า

. . . . . เ ร า ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น แ ค่ เ พื่ อ น . .
. . . แ ต่ เ ร า เ ป็ น ตั้ ง เ พื่ อ ; น ต่ า ง ห า ก . .
... เพราะ เพื่อนมีความสำคัญมากๆ
... มาก จนบางคนแยกไม่ออก เอา ไปเปรียบเทียบกะแฟนว่าอะไร สำคัญกว่ากัน

.. ทั้งๆ ที่มันคนละเรื่องกันเลย

... แต่ เมื่อเวลาที่เราอยู่ในห้วงของความรัก

... เพื่อน ... จะ กลายเป็นส่วนเกินของโลกส่วนตัวเราทันที

... ไอ่ เพื่อนสนิทผม มัน คงจะชินแล้ว

... ที่ เวลาผมมีรักทีไร ผม ก็จะห่างๆมันไปทุกที

... เวลา ที่จะกลับมานึกถึงมันได้อีกที

... ก็ ตอนอกหักนู่นแหละ

... ก็ เคยคิดเหมือนกันนะ

... ถ้า เราเป็นมัน จะ รู้สึกยังไง

... คง จะประมาณว่า

... ' แม่ง ... พอ มีแฟนก็ลืมเพื่อน '

... นี่ กะกรูไม่เคยช่วยห่ าไรเลย ที กะแฟนแมร่งแทบถวายหัว '

... ' ต้อง เลิกกะแฟนก่อนถึงจะจำเบอร์โทรกรูได้ใช่ไหม สราดดด '

... คิดๆ ดูแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

... เพราะ เวลาที่กำลังมีความสุขในห้วงของความรัก

... ก็ แทบไม่ได้จะไปเที่ยวไหนกับมันเลย

... นานๆ ถึงจะได้คุยกันที
... แต่ พอผิดหวัง พอ เจ็บตัวขึ้นมา

... นาที นั้นอยากกดโทรศัพท์ไปหามันก่อน

... อยาก ให้มันรับโทรศัพท์ก่อน

... ซึ่ง บางทีมันนอนไปแล้วผมก็จะไล่มันกลับไปนอน

... ไม่ ต้องตื่นขึ้นมาฟังเรื่องราวใดๆทั้งนั้น

... ไม่ รู้ทำไมเหมือนกัน แค่มันรับโทรศัพท์ ก็พอแล้ว
... แบบ นี้ละมั้งที่เค้าว่า

... ' เพื่อน

คือคนที่สามารถนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไร สักคำ '

... ' แต่ ลุกจากกันไปได้เหมือนคุยกันไปนับล้านคำ '

... ' เพื่อน '

... ' คือ คนที่เมื่อเราสุข เรา ไม่เห็นมันอยู่ในสายตา '

. . . ' แ ต่ เ ป็ น ค น ไ ม่ มี วั น ป ล่ อ ย ใ ห้ เ ร า ล้ ม ลง

ไ ม่ ว่ า เ ร า จ ะ ไ ป

เ จ็ บ ม าจ า ก ไ ห น . . .

....เงาของความคิดถึง....

....เงาของความคิดถึง....

ความคิดถึง "ใครคนหนึ่ง" อบอวลอยู่ในมวลอากาศรอบๆกาย.....รอบๆใจ

อานุภาพแห่ง "ความคิดถึง" มากมายจนเกินบรรยาย

"ความคิดถึง" เปลี่ยนโลกส่วนตัวของฉัน ให้เป็นสีชมพู
ได้เปิดประตูต้อนรับ "ใครคนหนึ่ง" เข้าสู่โลกของฉัน

เปลี่ยนโลกใบนั้นให้กลายเป็น "โลกแห่งความคิดถึง"

"ความ คิดถึง" แทรกซึมสู่ใจ ได้อาบอิ่มทุกช่วงขณะที่หายใจ สะท้านหวั่นไหว
"ความ คิดถึง" ก่อเกิดไออุ่นในดวงใจ

ให้หัวใจได้เผยอยิ้ม....เผลอยิ้ม อย่างคนฝันหวาน

แต่ทว่า..นี่คือฝัน.....ฝันในโลกที่กาลเวลากำลัง เดินไป.....เดินไป

สุขใดจะเทียมความคิดถึงถึง "ใครคนหนึ่ง" เล่า

"ใคร คนหนึ่ง" ... คนของความคิดถึง

รับรู้ถึงความคิดถึงที่หยิบยื่นให้ กันและกัน

รับรู้ถึงความห่วงใยที่หยิบยื่นให้กันและกัน

รับ รู้ถึงความรู้สึกที่หยิบยื่นให้กันและกัน

สัมผัสความคิดถึงของกัน และกัน

"ความคิดถึง" ณ เวลานี้เป็นความคิดถึงอันงดงาม

เชื่อ ว่า .. ต่อไปกับกาลเวลาข้างหน้า คงเป็นความคิดถึงอันงดงามเฉกเช่นเดียวกัน

ขอ ให้ในความรู้สึกของดวงใจ มีความคิดถึงร่วมกันตลอดไป.......

ความหมายของชีวิต


เราอาจจะหาความหมายของทุกสิ่งมาตลอดชีวิต.....
แล้ววันหนึ่งเรา ก็พบว่า……
เพียงแค่มีบางสิ่ง ชีวิตก็มีความหมายแล้ว
มนุษย์เกิดขึ้นมา ท่ามกลางความโดดเดี่ยว พร้อมด้วยหัวใจคนละ 1 ดวง
เมื่อ มนุษย์ 2 คนมาพบกัน เราจึงเรียนรู้ว่า 1 + 1 อาจจะยัง คงเท่ากับ 1
แต่ความโดด เดี่ยวนั้นหายไป ที่ เล็กๆ ขนาดไม่ใหญ่โตไปกว่ากำปั้น
ที่ทำให้เราอยู่ รวมกันบนโลกใบนี้อวัยวะที่สะกดด้วยอักษรง่ายๆ ใช้ หัวใจ ยังไงล่ะ
ความ รัก ที่ประทับใจขอเก็บไว้ในใจแล้วอมยิ้มนะ
ความรัก ที่ไม่ประทับใจขอเก็บไว้เป็นประสบการณ์
ความรัก ที่ทำเพื่อผู้อื่นเป็นความภูมิใจแบบเก็บไว้เอง
ความรัก ที่ทำเพื่อตัวเองนั่นไม่เรียกว่ารัก
ความรัก ที่คุณเจอในอดีตขอให้เป็นความทรงจำที่แสนดี
ความรัก ที่คุณเจอในปัจจุบันขอให้สมหวังกันทุกคน
ความรัก ที่คุณจะเจอ ในอนาคตให้อธิษฐานกันเอาเองนะ
ถ้าอ๊อกซิเจนทำชีวิตนี้ดำรงอยู่ได้
ความ รักก็ทำให้การมีชีวิตนั้นมีความหมายมากยิ่งขึ้น
เคยมั้ยที่จะมี คุณเคยมีคนแบบนี้ที่ไม่ ใช่พ่อแม่พี่น้องหรือยัง?
ตอบตัวเองให้ได้ว่าใคร
เคย มั้ยที่จะมี...คนให้อภัยคุณทุกอย่าง
เคยมั้ยที่จะมี...คนอยู่เคียงข้าง คุณเวลาที่คุณเสียใจ
เคยมั้ยที่จะมี...คนจดจำความเป็นคุณได้ทุกอย่าง
เคย มั้ยที่จะมี...คนยอมเสียสิ่งที่รักเพื่อคุณ
เคยมั้ยที่จะมี...คนเห็นคุณ สำคัญกว่าใครๆ
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณอยู่ด้วยเฉย ๆ แล้วมีความสุข
เคย มั้ยที่จะมี...คนที่มั่นใจในคำว่ารักของคุณ
เคยมั้ยที่จะมี...ไม่อาย เมื่อเดินข้างคุณ แม้คุณหน้าตาไม่ดีก็ตาม
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่ทนคุณ ได้ไม่ว่า คุณจะด่า จะว่า เค้ายังไง
เคยมั้ยที่จะมี...คนรับได้ในสิ่งที่ คุณเป็นไม่ว่าจะมีคนมาว่าร้ายคุณยังไง
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่เห็นความ ผิดของคุณเป็นเรื่องที่ควรอภัย
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณอยากตื่นมาแล้ว ก็เจอกันเสมอ
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณคิดถึงเค้า แม้ว่าคุณไม่เหงาก็ตาม
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณคิดถึงคนแรก เมื่อคุณทุกข์ใจ
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่คุณรู้ว่า เค้าช่วยให้คุณสบายใจได้
เคยมั้ยที่จะมี...คนแคร์คุณมากมาย ไม่ว่าคุณจะทำร้ายเค้า ยังไง
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่รับรู้ตัวตนที่แท้ จริงของคุณ
เคยมั้ยที่จะมี...คนที่ยังรักคุณแม้คุณไม่เห็นความสำคัญของ เค้าเลย
ถ้าคุณเคยมีเค้าคนนี้อยู่จริง คุณควรถนอมเค้าไว้ให้ดี
ถ้าคุณ สูญเสียเค้าไปคุณเองที่จะเป็นคนเสียใจ
ความหมายของหัวใจ เราอาจจะหาความหมายของทุกสิ่งมาตลอดชีวิต
แล้ววันหนึ่งเราก็พบว่า เพียงแค่มีบางสิ่ง ชีวิตก็มีความหมายแล้ว

สารฟอกขาวในตะเกียบ


เวลารับประทานก๋วยเตี๋ยว ใคร ๆ ก็คงต้องใช้ตะเกียบในการรับประทาน แต่ทราบหรือไม่ว่า
ในตะเกียบนั้นมีสารฟอกขาวอยู่ด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...
อันตรายจากสารฟอกขาวที่อยู่ในตะเกียบ เป็นชนิดเดียวกับสารฟอกขาวที่ใช้แช่ถั่วงอก
โดยสารฟอกขาวจะมีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบ เมื่อโดนน้ำร้อนหรือของที่มีอุณหภูมิสูง
สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะเปลี่ยนเป็นสารซัลฟูริค หรือสารชนิดเดียวกับในแบตเตอรี่รถยนต์
สารดังกล่าวจะละลายออกมาจากตะเกียบ ปะปนอยู่ในอาหารที่กินเข้าไป หากผู้ที่เป็นโรคหอบหืด
หรือคนแพ้ง่ายจะมีอาการทันที แต่หากร่างกายแข็งแรงสารเหล่านี้ก็จะสะสม ในร่างกาย ซึ่งการปนเปื้อน
ของสารจะละลายออก มาเมื่อตะเกียบถูกน้ำร้อนหรือความร้อน เช่น การ กินสุกี้ หรือหม้อไฟต่าง ๆ
แต่ถ้านำไปใช้กับอาหาร ที่ไม่ร้อนก็ไม่พบว่าสารฟอกขาวเจือปนออกมา
สำหรับอันตรายของสารฟอกขาวที่เข้าไปสะสมในร่างกายจะค่อย ๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำลง
และเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าปกติ เพราะเมื่อร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน ถ้าได้รับเชื้อต่าง ๆ จะไม่มีระบบ
การทำลาย และสิ่งต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายนั้น จะไปสะสมทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ที่จะกระตุ้นให้เกิดโรค
มะเร็งได้
ดังนั้น หากต้องใช้ตะเกียบชนิดดังกล่าวในการกินของร้อน ๆ สามารถป้องกันได้ด้วยการแช่ในน้ำร้อน
ประมาณ 3-4 นาที แล้วเทน้ำทิ้งไป จากนั้นจึงนำตะเกียบมาใช้ได้ ส่วนตะเกียบชนิดไม้ไผ่แม้จะไม่มี
สารฟอกขาว แต่ต้องทำความสะอาดให้ดีและทำให้แห้งเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา เพราะจะทำให้เกิดสารอัลฟา
ทอกซิน หรือสารก่อมะเร็งได้
ครั้งหน้าจะใช้ตะเกียบก็อย่าลืมทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนนำมาใช้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

น้ำชา... กาแฟ ผลเสียผลดีต่อสุขภาพ


ในทางการแพทย์พบว่า เครื่องดื่มประเภทน้ำชากาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์เพราะสาร
คาเฟอีน ใน ชา กาแฟมีผลเสพติดอ่อนๆคือดื่มแล้วจะติด พอเวลาไม่ได้ดื่มจะหงุดหงิด มือสั่น ใจสั่น
สารคาเฟอีนนี้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ซึ่งนอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมของยาประเภท ลดไข้บรรเทาปวดอีกด้วย
ผู้ที่ได้รับคาเฟอีนมากเท่าไร ผลร้ายที่มีต่อร่างกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่นสมอง หัวใจ ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายจะใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมง ในการสลายคาเฟอีน
ถ้าร่างกายได้รับ คาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000 - 10,000 มิลลิกรัม จะทำให้ตายในระยะอันสั้นได้ ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2 - 2 1/2 ถ้วย (50 - 200 มิลลิกรัม) ลดความเมื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด 3 - 7 ถ้วย (200 - 500 มิลลิกรัม) ทำให้มือสั่น กระวนกระวายโกรธง่าย และปวดศรีษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้นเป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายต่อผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ คาเฟอีนมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูงกรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีไขมัน ในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตไม่ทำงาน
ผู้ที่ดื่มกาแฟ น้ำชา หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ รวมถึงการใช้ยาที่มีคาแฟอีนผสมอยู่รวมถึงการใช้ยาคาเฟอีนจนติดเป็นนิสัย จึงมีระดับคงทนต่อฤทธิ์คาเฟอีนสูงขึ้น โดยที่คาเฟอีนจะมีฤทธิ์ต่อร่างกายน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของประสาทตื่นตัว ปวดศีรษะ และปวดกระเพาะ ความทนทานนี้จะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น การหยุดดื่มกาแฟจะมีผลทำให้ปวดศีรษะ กระวนกระวายโกรธง่าย และไม่สนใจ สิ่งแวดล้อม
สำหรับสตรีมีครรภ์นั้นไม่ควรดื่ม ชา กาแฟ โดยเด็ดขาด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคนเราควรได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับประมาณ 2 ถ้วย ( คือ กาแฟ 1 ถ้วย ใส่ผงกาแฟสำเร็จรูป 2 ช้อนชา น้ำประมาณ 1 ถ้วย) เวลาที่เหมาะสมจะดื่มชากาแฟนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน บางคนดื่มตอนเช้าเพื่อให้ลำไส้กระปรี้กระเปร่า ถ่ายสะดวก แต่จะทำให้หิวเร็วกว่าปกติ เพราะกาแฟจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยเพราะฉะนั้นไม่ควรดื่มกาแฟแทนอาหาร เช้า และ หันมาดื่มนมแทนจะดีกว่า ถ้าคนที่นอนหลับยาก หรือมีภาระกิจต้องตื่นแต่เช้า ก็ไม่ควรดื่มกาแฟหลังอาหารเย็นวันนั้น จะเห็นว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีผลร้ายกับร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้าม ก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องกำจัด ปริมาณให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

เพลงความรัก

10 เกร็ดความรู้เกี่ยวกับร้านข้างถนน


เกร็ดความรู้เพื่อความปลอดภัยของเพื่อนๆ และคนใกล้ตัวก็อยากให้เพื่อนๆช่วยๆกันบอกต่อๆกัน เพื่อความปลอดภัยของสังคมด้วยนะครับ เป็นคำบอกเล่าของเจ้าของร้านอาหารริมทางคนนึง ออกมาเผยความจริงให้รู้แก่พวกเรา ไว้เป็นเป็นเกร็ดความรู้ดีๆ

1.น้ำเปล่าที่ให้ดื่มคือน้ำก๊อก
2.ตะเกียบเก่าถูกๆ บางอันขึ้นรา
3.แก้วน้ำล้างแบบจุ่มๆ ไม่ใช้น้ำยา
4.ล้างจานแบบประหยัดน้ำสุดๆๆๆๆ
5.กระทะผัดซ้ำๆ นานๆล้าง สารก่อมะเร็ง
6.กระบวนการทำเนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ถูกอนามัย
7.น้ำมันเก่า ก่อมะเร็ง
8.ผัดกระเพราที่เพื่อนๆชอบกินกันมีผงชูรสเกือบ 1 ช้อนชาต่อจาน
9.น้ำปลา, น้ำส้มสายชูต่างๆ เอาของห่วยๆมาใส่ขวดยี่ห้อดีๆ
10.ข้าวที่ให้กินเป็นข้าวหอมมะลิปลอม